ปลาคาร์ฟ
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
โรคของปลาคาร์ฟ
โรคปลาคาร์พที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
ความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ อาจมีสาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี สารอาหารไม่เพียงพอ ดูแลไม่ดี หรือไม่ก็การควบคุมทางพันธุกรรมไม่ดี สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถ่ายโอนไปสู่ตัวอื่นได้เช่นท้องผูกหรืออาหารไม่ย่อย ปลา Koi ทีท้องผูกหรือทุกข์ทรมานจากอาหารไม่ย่อยมักจะไม่คล่องแคล่ว นอนอยู่ที่ก้นบ่อ และท้องบวม สาเหตุมาจากการให้อาหารไม่สมดุล อาหารไม่ถูกกับปลา หรือให้อาหารมากเกิน ต้องเปลี่ยนอาหารใหม่ จะเติมเกลือแมกนีเซียมซัลเฟต 1 ช้อนชาต่อน้ำ 5 แกลลอน ในถังพยาบาล ควรลดอาหารปลา 3-5 วันจนกว่ามันจะแข็งแรง ให้อาหารสดหรืออาหารแช่แข็งตลอด 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นเอาปลากลับลงบ่อ ควรสังเกตดูปลาให้ดี เพราะอาการเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีก
โรคถุงลม
สังเกตจากการที่ปลาว่ายน้ำได้ไม่เต็มที่ โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้ง่าย จากการเสียสมดุลในการว่ายไปข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจหงายท้องเลย โรคนี้เกิดจากท้องผูก การฟกซ้ำในระหว่างสัมผัส การต่อสู้ การผสมพันธุ์หรือจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีสาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี สิ่งเหล่านี้แก้โดยการรักษาบริเวณทีฟกซ้ำ แต่ปัญหาคือไม่สามารถตรวจดูแผลทั้งหมดได้ ถ้าสงสัยว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ควรปรับปรุงคุณภาพของน้ำ และรักษาปลาด้วยยาปฏิชีวนะ ถ้าเกิดจากการท้องผูก ควรเปลี่ยนอาหารปลาและสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงเนื้องอกก้อนบวม นูน หรือเนื้องอก ดูเหมือนเม็ดพุพอง หรือหูดสามารถเอาเนื้องอกบางจุดออกได้ เนื้องอกบนเซลล์ผิวที่ถูกย้อมสีเป็นอันตรายถึงตาย และสังเกตได้จากก้อนที่หลัง เนื้องอกที่ตับก็ถูกพบในปลา Koi และก่อให้เกิดอาการท้องบวม พอง เนื้องอกทั้งสองชนิดไม่สามารถรักษาได้
ตาโปน
โรคนี้ทำให้ปลาตาโปนจากเบ้าตา และอาการนี้สังเกตได้ง่าย ปลาที่เป็นโรคมักอยู่ในน้ำที่คุณภาพไม่ดีและมีแรงกดดัน การรักษาอาจต้องใช้เวลาหลายวันถ้าจะพัฒนาคุณภาพของน้ำ บางคนบอกว่าควรงดให้อาหารปลา 2-3 วัน จนกว่าบ่อจะได้รับการแก้ไข
โรคปลาคาร์พที่เกิดจากการติดเชื้อ
โรคติดเชื้อการจะเป็นโรคติดเชื้อได้ก็ต่อเมื่อมันมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต รา ไวรัส และโปรโตซัว และเมื่อมันสามารถแพร่เชื้อไปให้ปลาตัว การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคบวมน้ำหรือโรคไต รู้จักกันในชื่อ “pinecone” สังเกตได้จากท้องบวมและเกล็ดหลุด โรคนี้เป็นสาเหตุให้ตัวบวม เพื่อที่จะสร้างของเหลวในเนื้อเยื่อ โรคบวมน้ำ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียAeromonasc และPseudomonas สาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี หรือไม่ก็ความเข้มข้นของออกซิเจนต่ำ ถ้าโรคบวมน้ำเจริญเต็มที่ ปลา Koiจะอยู่ไม่เกิน 1 สัปดาห์ โรคนี้เหมือนกับโรคท้องผูกและโรคถุงลมปลา ปลาที่รอดชีวิตจากโรคถุงลม มีแนวโน้มว่าจะเป็นอีกครั้ง เพราะว่าโรคนี้ติดต่อได้ง่าย ทางที่ดีควรย้ายปลาที่เป็นโรคออกไปโรคนี้รักษาไม่หาย ควรย้ายปลาออกมาทันทีและฆ่าทิ้งโดยไม่ให้ทรมาน บางคนคิดจะรักษาให้หายด้วยยาปฏิชีวนะ บางคนแนะว่าให้ผสม Furanance 250มิลลิกรัมต่อน้ำ 1แกลลอน อาบให้ปลา ควรอาบภายใน 1 ชั่วโมง และไม่ควรอาบซ้ำเกิน 3 ครั้ง ภายใน 3 วัน ว่ากันว่าปลารับเอาสารนี้ทางผิว ถ้าไม่เลือกใช้วิธีนี้อาจใช้วิธีอาบน้ำเกลือแบบเก่า ถ้าปลาไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2-3 วัน ปลาควรถูกฆ่าทิ้ง
แผลเปื่อย (Furunculos หรือ Ulcer Disease)
การติดเชื้อของแบคทีเรียชนิดนี้จะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่จะแพร่เชื้อไปอย่างรวดเร็ว จะติดเชื้อที่เกล็ดที่ดูเหมือนยเงี่ยง การติดเชื้อนี้แสดงอาการที่รอยกระแทกใต้เกล็ด ต่อมารอยกระแทกจะเริ่มปริออก ทำให้เกิดแผลเปื่อยขณะที่ปลาบางตัวรอดชีวิตจากโรคนี้ รอยแผลเป็นที่เกิดจากการติดเชื้อมักจะสร้างปัญหาสำหรับมันอีก บางทีปลาที่เป็นโรคนี้ควรจะถูกฆ่าทิ้งปลาที่ยังเหลืออยู่ให้รัีกษาด้วยเตตร้าชัยคลินทันที ควรกำจัดอาหารที่เหลือ การรักษาควรใช้เวลา 10 วัน
Ulcers (Hole-in-the Body Disease)
คือโรคติืดเชื้อที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดภายใน และแสดงอาการคือแผลเปื่อยสีแดงขนาดใหญ่ ฝี และสีแดงคล้ำที่ฐานของครีบ เราจะไม่สับสน โรคนี้กับโรคหนอนสมอ เพราะว่าอาการของหนอนสมอจะบวม ในขณะที่โรคนี้จะถูกกินจากภายในการอาบน้ำเกลืออาจจะรุนแรงเกินไป แต่ปลาที่ติดเชื้อควรจะแยกไว้ต่างหากและให้ยารักษาอีกครั้ง ที่ต้องใช้ยา่ปฎิชีวนะ
Mouth Fungus (Columnaris Disease)
มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Flexibacter และแสดงอาการโดยมีตุ่มขาวๆ โตบริเวณรอบปาก นอกจากนั้นยังพบได้ที่เหงือก หลัง และ ครีบ ถ้าปล่อยปละละเลยโดยไม่รักษา โรคนี้จะลุกลามไปทั่วและปลาก็จะตายควรพาไปพบสัตวแพทย์ แต่ควรแยกปลาและรักษาด้วยน้ำเกลือก่อน บางคนเริ่มการรักษาด้วย่น้ำเกลือ และต่อด้วยการควบคุมแบคทีเรียที่สำคัญ
โรคครีบติดเชื้อแบคทีเรียหรือหางเน่า
การต่อสู้กันระหว่างปลา อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ครีบหรือหาง บริืเวณที่เจ็บง่ายต่อการติดเชื้อของแบคทีเรีย และโรคนี้อาจเกิดจากคุณภาพน้ำไม่ดี มันง่ายที่จะป้องกันขณะที่ครีบมีบางส่วนหลุดไปและกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อโรคแสดงอาการรุนแรง ครีบจะค่อยๆ กร่อนไปมียาปฎิชีวนะที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ควรแช่ปลาลงในอ่างที่ผสมเกลือโปแตสเซียม 8 ผลึกต่อน้ำ 3 ส่วน4 แกลลอนทิ้งไว้ 5 นาที หลังจากนั้นเอาบริเวณที่ิดเชื้อของหางและครีบออก และทาหางด้วยmethylene blue หรือยาแดง การรักษานี้ค่อนข้างรุนแรงและควรกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
โรคเหงือกติดเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุมาจากแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ โรคนี้เกี่ยวกับการอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และคุณภาพของน้ำไม่ดี น้ำอุณหภูมิสูงก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้ อาการของโรคคือ ความเสียหายของเส้นใยที่เหงือก เยื่อบุเมือกที่ผิว และนิสัยการหายใจที่ผิวน้ำ อาจแก้ไขได้โดยลดจำนวนประชากรปลาในบ่อและัพัฒนาคุณภาพน้ำ การรักษาแบบแอนตี้แบคทีเรียอาจมีประโยชน์แต่ทางที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคขี้นได้
วัณโรคปลา
สาเหตุมาจากแบคทีเรีย Mycobacteria และเป็นสาเหตุให้เกิดบาดแผลที่เรีกยว่าgranuloma ที่อวัยวะภายใน เพราะว่าเนื้องอกอยู่ภายในและไม่แสดงอาการ โรคนี้ ตาจะบวมแดงและช่องท้องก็จะบวม พอง การวินิจฉัยสามารถรับรองก็ต่อเมื่อตรวจภายในหลังปลาตาย ไม่มีการรักษาสำหรับโรคนี้
การติดเชื้อรา (Fungus)
สาเหตุจากเชื้อราในสกุล Saprolegnia ที่มักเป็นอันตรายต่อปลาเขตร้อนเชื้อรานี้จะแสดงอาการไม่ชัดเจน แต่มันจะขาวและง่ายต่อการสังเกตกว่าโรค velvet สาเหตุเบื้องต้นของโรคนี้เกิดจากความเสียหายของเยื่อบุเมือกบนผิวที่เชื้อรามาเกาะและเจริญเติบโต ความบาดเจ็บสภาพแวดล้อม และปรสิตก็สามารถทำลายการป้องกันของเยื่อบุผิวได้การรักษาการทาmethylene blue ในบริเวณที่ติดเชื้อ หลังจากนั้นปลาจะถูกนำไปแช่น้ำเกลือ 10 วัน และอาจต้องไปพบสัตวแพทย์
Body Slim Fungus
โรคนี้สามารถฆ่าปลาได้ภายใน 2 วัน ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาเยื่อบุเมือกที่หุ้มจะเป็นสีขาวและเริ่มหลุดออก เหมือนกับว่าปลากำลังลอกคราบ ครีบจะค่อยๆถูกปกคลุม ท้ายสุดตัวก็ลายแดงด้วยอาการระคายเคียงการอาบน้ำเกลืออุ่นๆ จะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว เพราะจะช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา การไปพบสัตวแพทยเป็นวิธีที่แนะนำใหปฎิบัติ
Branchiomycosis
การติดเชื้อชนิดนี้ส่งผลกระทบต่อเหงือก ทำให้เกิดการกดระบบหายใจและเลือดออกที่เหงือก บริเวณของเนื้อเยื่อเหงือกที่ตายบ่งชี้ให้เห็นถึงโรคนี้ และที่โชคร้ายคือ ยังไม่มีการรักษาสำหรับโรคนี้ และปลาที่เป็นโรคก็จะตายภายในเวลาไม่กี่วันควรแยกปลาไว้ต่างหาก ถ้า่สงสัยว่าติดเชื้อbranchiomycosis การติดเชื้อไวรัส
ไวรัสปลาคาร์พ
เชื้อไวรัส KHV (Koi Herpes Virus) เชื้อไวรัสชนิดนี้ จะทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของปลา จึงทำให้เกิดการติดเชื้อจาก แบคทีเรียได้ง่าย มีตุ่มพุพองเกิดขึ้นที่ตัวปลา โรคนี้ได้ระบาด ครั้งใหญ่ในจังหวัด อิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น การทำให้ปลาคาร์พ ในประเทศญี่ปุ่นตายไปถึง 1,124 ตัน ธุรกิจเลี้ยงปลาคาร์พเสียหายคิดเป็นเงินสูงถึง 280 ล้านเยน เมื่อปี 2546 โรคร้ายสายพันธุ์นี้ เป็นหนึ่งในโรคที่ OIE องค์การระบาดสัตว์ ระหว่างประเทศ สั่งให้ประเทศ สมาชิกควบคุม อย่างเข้มงวด กรมประมงไทย ออกประกาศ สั่งห้ามนำปลาคาร์พจาก ญี่ปุ่นเข้าประเทศไทย เมื่อกลางเดือน พฤศจิกายน 2546 และต่อมาได้มีการยกเลิก คำสั่งห้ามนำเข้าปลาคาร์พ จากญี่ปุ่น ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 เพราะสถานการณ์ดีขึ้น และมีการเฝ้าระวัง แต่การระบาดของโรค KHV ที่เกิดขึ้น เมื่อเดือนที่แล้วและเป็นข่าวที่พบจากฟาร์มปลา ในบ้านเรา อาจมาจากการลักลอบ นำเข้าปลาคาร์พสวยงาม จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเข้ามาประกวด ปลาสายงาม และเชื้อได้แพร่สู่ปลาตัวอื่นๆ ที่เข้าร่วมประกวด ความน่ากลัว ก็ตรงที่มันไม่แสดงอาการ นี่แหลมันจะกลาย เป็นตัวพาหะแพร่ไปสู่ปลาตัวอื่น และรอโอกาสจน เมื่ออุณหภูมิน้ำลดต่ำลง สภาพน้ำผิดปกติ เชื้อจึงกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง โรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับปลาแฟนซีคาร์พอย่างเดียว ปลาในตระกูล ปลาคาร์พ ปลาไน, ปลาจีน, ปลาตะเพียน,ปลากระโห้, ปลาซ้ง, ปลายี่สก, ปลาหางไหม้, ปลากา ฯลฯ เป็นได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นปลาในตระกูล ปลาคาร์พ สามารถป่วยเป็นโรค KHV ได้ทั้งสิ้น
การให้อาหารปลาและการคัดลูกปลาออก
การให้อาหารลูกปลาและการคัดลูกปลาออก
การที่ลูกปลาจะสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของตัวผู้เลี้ยงเป็นสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินของลูกปลาและสถานที่เลี้ยงนั้นคับแคบหรือแออัดหรือไม่การให้อาหารลูกปลาอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกปลาคือ สัตว์น้ำที่เล็กมาก เช่น ไรข้ำเค็ม (อาร์ทีเมีย)ที่เพิ่มฟักตัว ลูกปลายังสามารถกินอาหารแห้งที่เป็นชิ้นเล็กๆ ได้ เช่น นมผงไข่แดงต้มสุก และสาหร่าย พวกมันจะกินได้เรื่อยๆ ดังนั้นจะเป็นที่จะต้องให้อาหารมันตลอดทั้งวัน เมื่อมันโตขึ้นควรเพิ่มขนาดของอาหาร โดยดูจากขนาดของปลาตัวที่เล็กที่สุดในบ่อ 3-4 สัปดาห์ ปลาจะยาวประมาณ 0.2-0.4 นิ้วถ้าลูกปลาฟักตัวในถังที่มีขนาดเล็ก ลูกปลาจะฟักตัวจากถุงไข่ที่ติดตัว (yolk sacs) และถุงนี้จะเป็นอาหารในช่วง2-3 วันแรกของการฟักตัว หลังจากนั้นจะต้องให้อาหารลูกปลาด้วยอาหารแห้งขนาดเล็กจำนวนเล็กน้อย ลูกปลาต้องการอาหารบ่อย ถ้าคิดที่จะเป็นคนให้อาหารลูกปลาเอง คุณต้องเตรียมตัวอยู่บ้านกับลูกปลาต้องดูแลเอาเศษอาหารและขยะอื่นๆ ออกจากบ่อเพาะพันธุ์อยู่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำสกปรก ซึ่งทำได้โดยการถ่ายน้ำโดยใช้ท่อดูดได้นานเท่าที่คุณหลีกเลี่ยงการที่จะย้ายลูกปลาออก การที่จะควบคุมการเพิ่มของแอมโมเนียมและเกลือ ต้องเติมน้ำจืดเป็นบางส่วนลงบ่อ อย่าลังเลที่จะใช้อุปกรณ์ทดสอบค่าpH และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อฟักตัว
การคัดลูกปลาออก
ลูกปลาจะโตอย่างรวดเร็วและจำได้ลูกปลาหลายพันตัวจากการผสมพันธุ์ครั้งหนึ่ง ในเดือนแรกควรเริ่มคัดลูกปลาออก ซึ่งจะช่วยลดจำนวนปลาที่จะนำมาจัดลำดับ ทำให้สามารถเลือกปลาที่มีคุณภาพดีที่สุด คนเลี้ยงปลามืออาชีพมักจะคัดปลาออกประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ขั้นแรกต้องเอาปลาที่พิการหรืออ่อนแอออกจากกลุ่ม หลังจากนั้นก็คัดออกโดยเลือกจากสีและลวดลายเหลือไว้เฉพาะตัวอย่างที่ดี3-4 เดือนแรกของการเพิ่มขึ้นของปลา ต้องเข้มงวดเรื่องการให้อาหารและการคัดปลาออก จนกว่าจะได้ตัวที่มีคุณภาพสูงและยาวหลายนิ้ว หลักการคัดปลาออกขึ้นอยู่กับความคิดส่วนตัวเกี่ยวกับ สี รูปร่างและขนาดของปลาต้องเพิ่มขนาดของบ่อที่ใช้เลี้ยงปลาในขณะที่พวกมันค่อยๆโตขึ้น สามารถนำปลาที่ยังไม่โตเต็มที่ที่ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว ไปไว้ในบ่อได้ แต่เรื่องการคัดปลาเป็นเรื่องยากสักหน่อยขณะที่ปลา koi เริ่มโตขึ้นพวกมันต้องการอาหารน้อยลง เมื่ออายุ 1 เดือน ปลาkoi ต้องการอาหารคิเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว และควรจะให้ทีละน้อยแต่ค่อนข้างบ่อย เมื่อมันโตขึ้นอีก ลดอาหารให้เลหือ 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ต้งอเลือกอาหารให้มีขนาดเหมาะสมกับตัวที่เล็กที่สุดในบ่อ จะสังเกตเห็นไดว่าปลา Koi ที่โตเร็วที่สุดมักจะไม่สวยและหน้าตาจะคล้ายกับปลาคาร์พทั่วไป มันเป็นอย่างนี้เพราะว่าปลา Koi จะสวยกว่าตั้งแต่เกิดและปลา Koi ก็ไม่มีความทนทานเท่าปลาคาร์พในธรรมชาติ
การสืบพันธุ์ปลาคาร์ฟ
การสืบพันธุ์และการผสมพันธุ์ปลาคาร์พ
การสืบพันธุ์ของปลา Koi
อวัยวะสืบพันธุ์ของปลา Koi อยู่ในร่างกาย มันจึงยากที่จะบ่งเพศของปลาจนกว่า มันจะโตเ๖้มที่ ขณะที่ลำตัวยางประมาณ 12 นิ้ว และมีอายุ 3 ปี เป็นช่วงที่ปลาโตเต็มที่ ตัวผู้จะมีร่างเพรียวกว่าตัวเมีย ครีบอกก็จะตั้งและยื่นออกจากลำตัวมากกว่าตัวเมีย ในฤดูผสมพันธุ์ ครีบของตัวผู้จะตั้งและหัวก็จะมีแต้ม ส่วนตัวเมียที่โตเต็มที่ ลำตัวจะหนาและกลมกว่า และจำกลมยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีไข่ในตัวในช่วงฤดูผสมพันธุ์ปลา Koi เป็นปลาวางไข่ ตัวเมียจะวางไข่ที่พืชและเสปิร์มก็จะมาผสมพันธุ์กันข้างนอก ไข่ของปลา Koi เล็กกว่าหัวเข็มหมุด ใส เหนียวติดพืช ตัวเมียจะวางไข่ประมาณ 400,000 ฟอง ในช่วงผสมพันธุ์ปลา Koi มักจะวางไข่ในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ในอุณหภูมิพอเหมาะแต่มันจะเริ่มวางไข่ตลอดทั้งปีในบริเวณเขตร้อนของอินโด-มาเลเซียและไทย ปลาจะวางไข่ในน้ำอุณหภูมิต่ำที่ประมาณ 63 องศาฟาร์เรนไฮด์ แต่อุณหภูมิที่ดีควรจะอยู่ที่ประมาณ 68 องศาฟาร์เรนไฮด์ การผสมพันธุ์จะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำในแต่ละฤดูการขึ้นของพืชใต้น้ำ น้ำที่มีออกซิเจนเยอะและการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนของทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้จะไล่ตามจนกว่า ตัวเมียจะวางไข่บนใบพืชที่อยู่ในน้ำตื้น หลังจากนั้น ตัวผู้จะผสมพันธุ์ โดยปล่อยสเปริ์มเข้าไปในไข่ตัวเมียจะวางไข่ในช่วงเช้าและไข่จะฟักภายใน 1สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 65-75 องศาฟาร์เนรไฮด์ เปอร์เซ็นต์ที่ลูกปลาจะมีชีวิตรอดมีจำนวนไม่มาก เมื่อตัวผู้พบตัวเมีย ตัวผู้มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับตัวเมีย ตัวผู้จะไล่ตามอย่างดุเดือดจนกว่าตัวเมียจะวางไข่ หลังจากนั้นตัวผู้จะผสมพันธุ์โดยปล่อยสเปริ์มเข้าไปในไข่
การผสมพันธู์ปลาในบ่อ
ถ้าบ่อและปลามีสุขภาพดี ปลาจะเริ่มผสมพันธุ์เมื่ออุณหภูมิน้ำเหมาะสม ในช่วงเปลี่ยนฤดู ซึ่งมักจะเป็นเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ถ้าเลี้ยงปลา Koi แค่เป็นงานอดิเรก ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะใช้บ่อเป็นที่วางไข่และที่ฟักตัวของลูกปลา หรือว่าจะหาสถานที่ที่สามารถจะควบคุมดูแลมากกว่านั้น เช่น ถังเพาะพันธุ์ ถ้าปล่อยให้ปลาผสมกันเองตามธรรมชาติในบ่อ จะไม่สามารถควบคุมสายพันธุ์ ถ้าไม่แบ่งพื้นที่ในบ่อสำหรับการผสมพันธุ์ เพราะไม่มีทางรู้ว่าลูกปลาตัวไหนเป็นของพ่อ-แม่ปลาคู่ไหน ถ้าในบ่อมีปลา koi หลายชนิด ไข่ที่วางไว้อาจจะโดนปลาตัวอื่นมากบ่อผสมพันธุ์ปลาKoi จะวางไข่ได้อย่างเป็นธรรมชาติในบ่อ แต่ผู้เลี้ยงควรจะเตรียมบ่อผสมพันธุ์ไว้ด้วย ถังที่ได้จัดเตรียมไว้แล้วอย่างดี ควรปล่อยให้พ่อ-แม่ และลูกปลาอยู่ตามลำพัง เพื่อที่จะสามารถควบคุมดูแลได้อย่างใกล้ชิด และยังสามารถเพิ่มการรอดชีวิตของลูกปลาด้วยบ่อเพาะปลา Koi ควรจะมีขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศุนย์กลางอย่างต่ำ 6-8 ฟุตและลึก 3-4 ฟุต ควรจะแข็งแรง และมีพื้นผิวบ่อเรียบ เพราะปลามักถูตัวกับผนังบ่อ ต้องแน่ใจว่ามีการให้ออกซิเจนในบ่ออย่างเพียงพอและอาจต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการเพาะพันธุ์ ให้ตัวเมียใช้วางไข่ วัสดุเหนียวนุ่มมัดผ้า ผักตบชวา หรือกิ่งต้นหลิว เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสม หรืออาจจะซื้ออุปกรณ์ผสมพันธุ์จำลองก็ได้ ต้องแน่ใจว่าสิ่งที่ซื้อมาปราศจากปรสิตและสารเคมี
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลาคาร์ฟ
การคัดเลือกพันธุ์พันธุ์ปลาคาร์พนั้นจำเป็นต้องมีความพิถีพิถันในการคัดเลือกเพราะมีความสำคัญที่ลูกปลาที่ออกมาจะมีคุณภาพและขายได่ราคาหรือไมการเลือกพ่อ-แม่พันธุ์เมื่อจะเพาะพัันธุ์ปลา ก็คงต้องการให้ปลาที่เกิดมามีสีสดใสสุขภาพดีและรอดต้องเริ่มด้วยการเลือกพ่อ-แม่พันธุ์ที่มีคุณภาพดีเยี่ยม โดยดูจากปลาที่มีสุขภาพแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว สีสวยและครีบมีลักษณะดี ผู้เชี่ยวชาญบางคน แนะนำว่าต้องไม่นำปลาkoi ชนิดหลักๆมารวมกันและควรจะเลือกปลาที่มีสีพื้นสีขาว สีสด และลำตัวตรง คนเลี้ยงปลาที่มีชื่อเสียงบางคน จับคู่ปลาตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัวมาผสมพันธุ์กัน แต่มันยากที่จะเลือกปลาที่มีคุณสมบัติดีพร้อม สำหรับที่จะใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ดังนั้นควรเลือกตัวผู้ 3 ตัว และตัวเมีย 1 ตัว ถ้าการจับคู่แรกล้มเหลว ลองเปลี่ยนคู่ผสมพันธุ์ด้วยตัวผู้อีกตัวเมื่อได้เวลาแล้ว นำปลาที่เลือกไปไว้ในบ่อผสมพันธุ์ อุณหภูมิน้ำในบ่อควรจะอยู่ที่ประมาณ 75 องศาฟาเรนไฮด์ ในตอนกลางวัน และอุณหภูมิควรจะลดลงในตอนกลางคืน การเปลี่ยนแปลงนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดการผสมพันธุ์ถ้าจับตาดูปลาให้ดี เราจะเห็นมันเกี้ยวกัน ตัวผู้เริ่มที่จะรังแกตัวเมียเพื่อให้ตัวเมียวางไข่ การเกี้ยวจะเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้เวลาที่ตัวเมียจะวางไข่ ไข่จะถูกวางในอุปกรณ์เพาะพันธุ์ ที่ซึ่งกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในบ่อการผสมพันธุ์และการวางไข่มักเกิดในช่วงเช้า
การย้ายพ่อ-แม่พันธุ์
พ่อ-แม่ปลาอาจจะกินไข่ของตัวเองได้ ดังนั้นจึงต้องย้ายออกจากบ่อ อาจจะย้ายไปอีกบ่อที่มีคุณภาพน้ำดีและอุณหภูมิใกล้เคียงกัน หรือ จะย้ายกลับไปที่บ่อก็ได้ไข่และลูกปลาอาจจะตายเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลที่จะปกป้องไข่ทุกฟองการดูแลรักษาไข่ไข่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่คงที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่เกิน 5 องศาฟาเรนไฮด์ทั้งกลางวันและกลางคืน ไข่จะตายถ้าอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงมากในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ไข่จะเริ่มฟักภายใน 4-7 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิน้ำ ซึ่งควรอยู่ที่ประมาณ 68-75 องศาฟาเรนไฮด์ มันไม่แปลกที่เชื้อราจะมารบกวนไข่ ดังนั้นอาจต้องเพิ่มสารต้า่นเชื้อราในน้ำ เช่น malachite greenและควรมีความเข้มข้นประมาณ 0.2 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตรหลังจากฟักไข่ ลูกปลาจะหาที่ปลอดภัยโดยสัญชาตญาณ และจะหลบซ่่อนตัวอยู่ในอุปกรณ์เพาะพันธุ์ ลูกปลาสามารถอยู่รอดได้ 2-3 วัน จากอาหารที่ถุงไข่แดง (yolk sacs)หลังจากใช้หมดแล้วก็จะต้องให้อาหารมัน ลูกปลาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และระยะตัวอ่อนในช่วง 2-3 วันแรกต้องทำทุกทางที่จะเพิ่มออกซิเจนจำนวนมากให้แก่ลูกปลาในช่วงนี้ และต้องแน่ใจว่ามีการให้ออกซิเจนในน้ำ ควรจะรู้ว่า ต้องให้อาหารลูกปลาได้เมื่อพวกมันเริ่มที่จะว่ายน้ำไปมาในความลึกระดับกลางของน้ำ
ชนิดปลาคาร์ฟ
ชนิดของปลาคาร์ฟ
- สายพันธุ์ โคฮากุ (Kohaku)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์ไทโชซันโชกุ (Taisho Sanshoku / Taisho Sanke)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์โชวา ซันโชกุ /ซันเก้ (Showa Sanshoku / Showa Sanke)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์เบคโกะ (Bekko)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์อุจึริโมโนะ (Utsurimono)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์อาซากิ (Asagi)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์ซูซุย (Shusui)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์โกโระโมะ (Koromo)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์โงชิกิ (Goshiki)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ สายพันธุ์ฮิการิ มูจิโมโนะ (Hikari muji mono)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์ฮิการิโมโยโมโนะ (Hikari moyomono)
- สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ พันธุ์ฮิการิ อุจึริโมโนะ (Hikari Utsurimono)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)